obj
obj

คอลัมน์บอล

ตำนานลูกหนัง : ‘ดไวท์ ยอร์ค’ จากเด็กเก็บปูสู่ดาวยิง ‘พรีเมียร์ลีก’

จากครอบครัวที่ยากจนจับปูขายเพื่อเลี้ยงชีพ กลายมาเป็นยอดตำนานกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และมีดีกรีเป็นถึง 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลบนเวที พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 1992 มาจนถึงปัจจุบัน ชายผู้นั้นมีชื่อว่า ‘ดไวท์ ยอร์ค’


ดไวท์ ยอร์ค นั้นเกิดในครอบที่ครัวยากจน เมื่อสมัยเด็ก ๆ เขาต้องจับปูไปขายเพื่อหาเงินซื้อรองเท้าสตั๊ด ซึ่งนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นหล่อหลอมทำให้อดีตแข้งดังรายนี้มีความแข็งแกร่ง, มุ่งมานะ และความอดทน เพื่อทำความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ 


อดีตดาวยิง ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้อายุอานามก็ปาเข้าไปวัย 53 ปีแล้ว เขาเกิดมาในประเทศเล็กที่มีชื่อว่า ตรินิแดด และ โตเบโก ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ว่ากันว่า ดไวท์ ยอร์ค นี่แหละคือทูตกีฬาของจริง พร้อมกับเปลี่ยนโฉมหน้าวงการฟุตบอลในประเทศเล็กที่ว่านี้ไปตลอดกาล


ก่อนจะไปติดตามเรื่องของ ดไวท์ ยอร์ค กันต่อ ตอนนี้ LS Sport เพิ่มเกมตอบคำถามแฟนบอลพันธุ์แท้รายวัน และเกมโหวตทายผล ลุ้นรับไอเทมนักเตะระดับตำนานแบบไม่ต้องเติมเงินสักบาทเลย! ก็อย่าลืมรีบไปตุนเหรียญ-เก็บเลเวลกันก่อนหมดเขตนะครับ


ยอร์ค ในวัย 16 ดไวท์ ลงเล่นในกับทีมเล็ก ๆ ในบ้านเกิด ซึ่งเล็กมากจนไม่มีประวัติศาสตร์ใด ๆ หรือความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั้งในปี 1989 สโมสรดังจากประเทศอังกฤษ ชื่อว่า แอสตัน วิลล่า เดินทางมาเก็บตัวที่แถบทะเลแคริบเบียน และก็ได้ลงสนามอุ่นเครื่องกัน 


โดยตอนนั้น เขาในวัย 17 ปี เล่นงานนักเตะ ‘สิงห์ผงาด’ จนแทบหัวหมุนกันเลยทีเดียว แม้ว่ามันจะแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่ความแตกต่างมันเห็นได้ชัดเจน จนทำให้ทีมดังจาก พรีเมียร์ลีก ถึงขั้นต้องเอาจริงในช่วงท้ายเกม แต่ก็ไม่สามารถหยุดเด็กชายร่างเล็กคนนี้ได้เลย และหลังจากจบเกมกุนซืออย่าง เกรแฮม เทย์เลอร์ ถึงขั้นเดินเข้าไปคุยกับทีมของเขา แล้วก็สอบถามข้อมูลต่าง ๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าต้องเอาเด็กคนนี้กลับไปที่ มิดแลนด์ ให้ได้


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอดีตแข้งรายนี้มีค่าตัวสูงถึง 1 แสน 2 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากในยุคนั้น โดยเจ้าตัวเล่าว่า ตัวเขาเองนั้นต้องหยุดเรียนไป 8 เดือน และก็มีปัญหากับคุณแม่อยู่บ่อยครั้ง เพราะท่านต้องการให้เน้นไปที่การเรียนมากกว่า แต่สุดท้ายผู้เป็นแม่ก็ใจอ่อน จนทำให้ลูกชายของเธอได้เดินตามความฝันไปเป็นนักฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ


หลังจากที่ดีลนี้เกิดขึ้น เขาก็กลายเป็นคนดังของประเทศชั่วข้ามคืน จากประเทศเล็กที่มีประชากรรวม ๆ แค่ 8 ล้านคน อยู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งที่เล่นฟุตบอล ซึ่งไม่ใช่กีฬาที่ได้รับไม่ได้รับความนิยมสูงสุดในชาติด้วยซ้ำไป แต่ได้ไปเล่นฟุตบอลบนลีกสูงสุดของ อังกฤษ เพราะด้วยเหตุผลนี่เอง ทำให้เจ้าตัวทะลุขึ้นติดทีมชาติชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น


ซึ่งหลังจากที่เขาเซ็นสัญญากับ วิลล่า และลงเล่นกับทีมสำรองอยู่ 1 ปี เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงสนามในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในปี 1990 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานดาวยิงรายนี้


หลังจากนั้น ยอร์ค ก็ค่อย ๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนในฤดูกาล 1992/93 เจ้าตัวยึดตัวหลักในถิ่น วิลลา พาร์ค มาครองได้อย่างเหนียวแน่น ก่อนจะระเบิดฟอร์มเก่งพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ถึง 2 สมัยในปี 1994 และ 1996 


โดยช่วง 3 ปีสุดท้ายกับ แอสตัน วิลลา เจ้าตัวทำไปได้ถึง 53 ประตู กระทั่งช่วงหน้าร้อนปี 1998 เขาได้รับข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้จากยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนั่นทำให้เส้นทางการค้าแข้งของ ดไวท์ ยอร์ค มุ่งตรงเข้าสู่โรงละครแห่งความฝันในที่สุด


ในปี 1998/99 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของเขากับ ‘ปีศาจแดง’ เจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มเก่งทำได้ 29 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์รวมทุกรายการ พาทีมคว้าทริปเบิลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมพ่วงรางวัลดาวซัลโวบนเวที พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นนี้ จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ณ เวลานั้น 


ปีต่อมา เขายังคงรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการกดไปอีก 23 ประตูพา ‘ผีแดง’ คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีก 1 สมัย แต่หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานจุดตกต่ำกำลังจะเข้ามาเยือน


เพราะหลังจากนั้นในวัย 29 ปี ดูเหมือนจะเริ่มเข้าสู่ขาลงในอาชีพการค้าแข้งอย่างเต็มตัว โดยในฤดูกาล 2000/01 ผลงานของเขาตกลงไปอย่างน่าใจหาย บวกกับอาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวนจนทำให้โอกาสในการลงสนามไม่ต่อเนื่องเหมือนในปีก่อน ๆ จนทำให้จบซีซั่นไปด้วยผลงาน 11 ประตูรวมทุกรายการ น้อยที่สุดนับตั้งแต่ค้าแข้งอยู่กับ แอสตัน วิลลา ในปี 1994/95


จนกระทั่งปี 2001/02 นับว่าเป็นการปิดม่านของเขากับ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการเลยก็ว่าได้ หลังจากทีมไปเซ็นสัญญาคว้าตัวกองหน้ามหากาฬอย่าง รุด ฟาน นิสเทลรอย ทำให้ ดไวท์ ยอร์ค ที่เดิมที่โอกาสลงสนามก็น้อยอยู่แล้วแทบจะหลุดออกไปจากทีมโดยสมบูรณ์แบบ และในที่สุดซัมเมอร์ปี 2002 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายออกจาก โรงละครแห่งความฝัน ไปซบอก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในที่สุด


ปีแรกกับ แบล็คเบิร์น แม้จะไม่เทียบเท่ากับสมัยที่ยังพีค ๆ แต่ก็ถือว่าฟอร์มการเป็นมือสังหารก็กลับมาอยู่บ้างเล็กน้อยด้วยผลงาน 13 ประตู ก่อนที่ปีต่อ ๆ มาบทบาทจะลดน้อยลง กระทั่งในปี 2004 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้งไปเล่นกับ เบอร์มิงแฮม ด้วยสัญญา 1 ปี 


หลังจากหมดสัญญาเจ้าตัวตัดสินใจมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการโยกไปเล่นในลีกออสเตรเลีย กับ ซิดนีย์ เอฟซี ทำไปได้ 7 ประตูก่อนคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมาครองได้ 


ซึ่งซีซั่นต่อมาในปี 2006 ซันเดอร์แลนด์ ตัดสินใจดึงตัวเขากลับสู่ อังกฤษ อีกครั้ง โดยดาวเตะรายนี้พาทัพ ‘แมวดำ’ เลื่อนชั้นขึ้นมาบน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในฤดูกาลดังกล่าว ก่อนจะค้าแข้งในถิ่น สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ อีก 2 ปี 


จนในช่วงกลางปี 2009 เจ้าตัวก็ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวัย 37 ปี ทำสถิติยิงประตูไปได้ถึง 123 ลูกจากการลงสนาม 375 เกมในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งนับเป็นอันดับที่ 19 ของดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของ อังกฤษ นับตั้งแต่ปี 1992 เลยทีเดียว


แม้ว่า ดไวท์ ยอร์ค จะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน และแทบไม่มีโอกาสที่จะทำตามความฝันของตัวเอง แต่ด้วยความใจสู้ของเขา ทำให้เจ้าตัวก้าวผ่านอุปสรรคมาได้ ถึงแม้ว่ารุ่นลูกรุ่นหลานอยากเราจะเกิดไม่ทันความสำเร็จของเขา แต่นี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญในการใช้ชีวิตที่พวกเราควรศึกษาเอาไว้


เขียนโดย LS Sport 

ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง



ติดตามข่าวสารฟุตบอลต่างประเทศและคอลัมน์ฟุตบอล ข้อมูลเที่ยงตรง เข้าถึงข้อมูลร้อนเร็วทันเหตุการณ์จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ รายละเอียดเกี่ยวกับเกม ผลการแข่งขัน, สถิติของทีม, ข่าวเกี่ยวกับนักเตะและทีมรัก, ทรรศนะ และบทวิเคราะห์, และข้อมูลอื่น ๆ จากทีมชั้นนำจากทั่วโลก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และอื่นๆ อีกมากมาย ข่าวสารบอล ต้องเว็บไซค์ของคนบ้าบอล ข่าวสดยุคใหม่ 24 ชั่วโมง ต้อง lockscore.com เท่านั่น

icon
icon

0'

Aston Villa

1

icon

Leeds United

2

icon LIVE NOW